ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative or Collaborative Learning)
ทิศนา แขมมณี (2553:98-102) ได้รวบรวมทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of
Cooperative or Collaborative Learning) ไว้ดังนี้
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ
คือ การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 –
6 คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม
นักการศึกษาคนสำคัญที่เผยแพร่แนวคิดของการเรียนรู้แบบนี้คือ สลาวิน ( Slavin
) เดวิด จอห์นสัน ( David Johnson) และรอเจอร์
จอห์นสัน ( Roger Johnson ) เขากล่าวว่า ในการจัดการเรียนการสอนโดยทั่วไป
เรามักจะไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนเป็นมิติที่มักถูกละเลยหรือมองข้ามไปทั้ง ๆ
ที่มีผลการวิจัยชี้ชัดเจนว่า ความรู้สึกของผู้เรียนต่อตนเอง ต่อโรงเรียน
ครูและเพื่อนร่วมชั้น มีผลต่อการเรียนมาก จอห์นสัน และจอห์นสัน ( Johnson
and Johnson , 1994 : 31 – 32 ) กล่าวว่า
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนมี 3 ลักษณะคือ
1.ลักษณะแข่งขันกัน
2.ลักษณะต่างคนต่างเรียน
3.ลักษณะร่วมมือกัน หรือ
ช่วยกันในการเรียนรู้
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
1.การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน ( positive
interdependence )
2.การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด ( face-to-face
promotive interaction )
3.ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน ( individual
accountability )
4.การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย
( interpersonal and small-group
skills )
5.การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม ( group
processing )
ผลดีของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
1.มีความพยายามจะบรรลุเป้าหมายมากขึ้น
2.มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนดีขึ้น
3.มีสุขภาพจิตดีขึ้น
ประเภทของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
1.กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ ( formal
cooperative learning groups )
2.กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ( informal
cooperative learning groups )
3.กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างถาวร( cooperative
base groups )
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการเรียนการสอน
1.ด้านการวางแผนการจัดการเรียนการสอน
1.1 กำหนดจุดมุ่งหมายของบทเรียนทั้งทางด้านความรู้และทักษะกระบวนการต่าง ๆ
1.2 กำหนดขนาดของกลุ่ม กลุ่มควรมีขนาดเล็กประมาณ 3 – 6 คน กลุ่มขนาด 4 คนจะเป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุด
1.3 กำหนดองค์ประกอบของกลุ่ม โดนทั่วไปกลุ่มจะต้องประกอบไปด้วยสมาชิกที่คละกันในด้านต่าง ๆ เช่น เพศ ความสามารถ ความถนัด
เป็นต้น
1.4 กำหนดบทบาทของสมาชิกแต่ละตนในกลุ่ม
1.5 จัดสถานที่ให้เหมาะสมในการทำงานและการมีปฏิสัมพันธ์กัน
1.6 จัดสาระ วัสดุ หรืองานที่จะให้ผู้เรียนทำ
วิเคราะห์สาระ/งาน/หรือวัสดุที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
2.ด้านการสอน ครูควรมีการเตรียมกลุ่มเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน
ดังนี้
2.1 อธิบายชี้แจงเกี่ยวกับงานของกลุ่ม
2.2 อธิบายเกณฑ์การประเมินผลงาน
2.3 อธิบายถึงความสำคัญและวิธีการของการพึ่งพาและเกื้อกูลกัน
2.4 อธิบายวิธีการช่วยเหลือกันระหว่างกลุ่ม
2.5 อธิบายถึงความสำคัญและวิธีการในการตรวจสอบความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่แต่ละคนได้รับมอบหมาย
2.6 ชี้แจงพฤติกรรมที่คาดหวัง
3.ด้านการควบคุมกำกับและช่วยเหลือกลุ่ม
3.1 ดูแลให้สมาชิกกลุ่มมีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด
3.2 สังเกตการณ์การทำงานร่วมกันของกลุ่ม
3.3 เข้าไปช่วยเหลือกลุ่มตามความเหมาะสม
3.4 สรุปการเรียนรู้
4.ด้านการประเมินผลและวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้
4.1 ประเมินผลการเรียน ครูประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ
4.2 วิเคราะห์กระบวนการทำงานและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน
การเรียนรู้แบบร่วมมือทั้ง 6 รูปแบบดังกล่าวมีคุณสมบัติสำคัญตรงกัน 5 ประการ คือ
ทุกรูปแบบต่างก็มีกระบวนการเรียนรู้ที่พึ่งพาและเกื้อกูลกัน
สมาชิกกลุ่มมีการปรึกษาหารือและปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
สมาชิกทุกคนมีบทบาทหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และสามารถตรวจสอบได้
สมาชิกกลุ่มต้องใช้ทักษะการทำงานกลุ่มและการสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในการทำงานหรือการเรียนรู้ร่วมกัน
รวมทั้งมีการวิเคราะห์กระบวนการทำงานของกลุ่มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการทำงานร่วมกัน
สยุมพร ศรีมุงคุณ ได้รวบรวมทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Theory
of Cooperative or Collaborative Learning) ไว้ดังนี้
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Theory
of Cooperative or Collaborative Learning)
แนวคิดขอทฤษฏีนี้ คือ
การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3
– 6 คน
ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม
โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้
การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันในการเรียนรู้
โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้ มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด มีการสัมพันธ์กัน มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม และมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน
ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ
โดยวิธีการที่ หลากหลายและควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน
และครูควรจัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม
เพื่อให้กลุ่มมีโอกาสที่จะปรับปรุงส่วนบกพร่องของกลุ่มเดียว
รังสิมา วงษ์ตระกูล ได้รวบรวมทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Theory
of Cooperative or Collaborative Learning) ไว้ดังนี้
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
หมายถึง
กระบวนการการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนได้ร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้โดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันออกเป็นกลุ่มเล็กๆ
ซึ่งเป็นลักษณะการรวมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน มีการทำงานร่วมกัน
มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
มีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม
เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
ในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
มีแนวทางในการจัดการเรียนรู้ ดังนี้
1.
ในการเรียนรู้จะต้องเกิดขึ้นโดยผู้เรียนเข้าไปเรียนรู้ได้รับกระบวนการทางสังคมเพื่อสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
2. ผู้เรียนต้องตัดสินใจในการเรียนรู้ว่าเขาอยากเรียนอะไรให้เขาวางแผนและตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ด้วยตนเอง
3.
ผู้เรียนจะต้องสร้างความเข้าใจด้วยตนเองจากความรู้ที่มีอยู่เดิมกับความรู้ที่เรียนใหม่
4.
ผู้เรียนควรจะใช้วิธีการที่หลากหลายในการเรียนรู้
5. สร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนทั้งในและนอกชั้นเรียน
เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
การเรียนการสอนแบบร่วมมือนี้มีเทคนิคการสอนต่างๆ
อยู่ 8 เทคนิคด้วยกันดังนี้
1.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ TGT (Team GamesTournaments)
TGT เป็นกระบวนการเรียนที่เป็นการนำเสนอเนื้อหาหรือบทเรียนใหม่ รูปแบบการนำเสนออาจจะเป็นการบรรยาย อภิปราย
กรณีศึกษาหรืออาจจะมีสื่อการเรียนรู้อื่นๆ
ประกอบด้วยก็ได้ เทคนิค TGT จะแตกต่างจากเทคนิคอื่นๆ ตรงที่ผู้สอนต้องเน้นให้ผู้เรียนทราบว่าผู้เรียนต้องให้ความสนใจมากในเนื้อหาสาระ
เพราะจะช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จในการแข่งขัน
วิธีนี้เหมาะสมกับการเรียนรู้ในวิชาพื้นฐานที่สามารถถามตอบที่มีคำตอบที่แน่นนอนตายตัว แต่ไม่เหมาะกับบางวิชา
2.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ STAD (Student Teams Achievement)
เทคนิค STAD
เป็นรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมืออีกรูปซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถใช้ได้ทั้งเด็กเล็ก
และเด็กโต
โดยจะแบ่งผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันออกเป็นกลุ่มเพื่อทำงานร่วมกัน
กลุ่มละประมาณ 4 – 5 คน โดยกำหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้เรียนรู้ในเนื้อหาสาระที่ผู้สอนจัดเตรียมไว้แล้วทำการทดลองความรู้
คะแนนที่ได้จากการทดสอบของสมาชิกแต่ละคนนำเอามาบวกเป็นคะแนนรวมของทีม โดยผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการเสริมแรง เช่น การให้รางวัล คำชมเชย
3.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจิ๊กซอร์(JIG-SAW)
เทคนิค Jig
Saw เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับเนื้อหาวิชาที่ไม่ยากเกินไป หลักในการจัดการเรียนรู้แบบนี้คือ
ผู้เรียนซึ่งประกอบด้วยสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งจะได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาสาระคนละ
1 ส่วน และหาคำตอบในประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมายให้
4.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที.เอ.ไอ.(TAI)
เทคนิคการสอนแบบ TAI
นั้น
มีรูปแบบในการสอนโดยให้ผู้เรียนภายในกลุ่มจับคู่ช่วยกันทำแบบฝึกหัด
โดยมีเกณฑ์การผ่านอยู่ที่ 75% ขึ้นไปถึงจะได้รับการทดสอบจากผู้สอน
แต่ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ทีกำหนดผู้เรียนต้องกลับไปทำแบบฝึกหัดจนผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ถึงจะมีสิทธิ์รับการทดสอบ
5.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ แอล.ที (L.T)
เทคนิคการสอนแบบ LT เป็นเทคนิคที่มีกระบวนการในการสอนที่ไม่ยุ่งยากและซับซ้อน
โดยกระบวนการคือให้สมาชิกในกลุ่มช่วยกันศึกษาเนื้อหาร่วมกัน
โดยกำหนดให้แต่ละคนมีบทบาทหน้าที่ช่วยกลุ่มในการเรียนรู้ และสรุปคำตอบร่วมกัน
6.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ จี.ไอ.(G.I.)
เทคนิคการสอนแบบ GI หรือ “Group Investigation” รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนช่วยกันไปสืบค้นข้อมูลมาใช้ในการเรียนรู้ร่วมกัน
7.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ซี.ไอ.อาร์.ซี.(CIRC)
รูปแบบ CIRC
หรือ “Cooperative Integrated Reading And Composition” เป็นรูปแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือที่ใช้ในการสอนอ่านและเขียนโดยเฉพาะ
รูปแบบนี้ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียน
การสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการบูรณาการภาษากับการเรียน
8.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบคอนเพล็กซ์ (Complex Instruction )
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกับรูปแบบ
จี.ไอ.
เพียงแต่จะเน้นการสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่มมากกว่าการทำงานเป็นรายบุคคล
นอกจากนั้นงานที่ให้ยังมีลักษณะของการประสานสัมพันธ์ระหว่างความรู้และทักษะหลายประเภท
และเน้นการให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล โดยการจัดงานให้เหมาะสมกับความสามารถและความถนัดของผู้เรียนแต่ละคน
สรุป
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Theory
of Cooperative or Collaborative Learning)
แนวคิดขอทฤษฏีนี้ คือ
การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3
– 6 คน
ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน
ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้
การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันในการเรียนรู้
โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้ มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด มีการสัมพันธ์กัน มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม และมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน
ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ
โดยวิธีการที่ หลากหลายและควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน
ในการจัดการเรียนการสอนของทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือมีเทคนิคการสอนอยู่ 8
เทคนิคด้วยกัน คือ กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ TGT (Team
GamesTournaments) , กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ STAD
(Student Teams Achievement) , กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจิ๊กซอร์(JIG-SAW) , กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที.เอ.ไอ.(TAI) , กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ แอล.ที (L.T) , กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
จี.ไอ.(G.I.) , กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ซี.ไอ.อาร์.ซี.(CIRC) และ
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบคอนเพล็กซ์ (Complex Instruction )
ที่มา
ทิศนา แขมมณี. (2553). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. (พิมพ์ครั้งที่ 12). กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์.
สยุมพร ศรีมุงคุณ. (2555). https://www.gotoknow.org/posts/341272. [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2561.
รังสิมา วงษ์ตระกูล. (2553). https://www.gotoknow.org/posts/401180. [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2561.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น